ยิดีรัสู่ว็ต์ที่ห้รู้รื่ * การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของชาติตะวันตก * 
:: เมนูหลัก ::
  หน้าแรก
  แบบทดสอบก่อนเรียน
  สมัยก่อนประวัติศาสตร์
  สมัยประวัติศาสตร์
  ศิลปวัฒนธรรมสมัยโบราณ
     อียิปต์
     เมโสโปเตเมีย
     กรีก
     โรมัน
  ศิลปวัฒนธรรมสมัยกลาง
     ศิลปะไบแซนไทน์
     ศิลปะโรมาเนสก์
     ศิลปะโกธิก
  ศิลปวัฒนธรรมสมัยใหม่
     บารอก
     นีโอ-คลาสสิก
     โรแมนติก
     สัจนิยม
     เพรสชันนิสม์
 
     บบทดสอบหลังเรียน
:: เว็บที่หน้าสนใจ ::
  หนังสือพิมพ์
  
    ไทยรัฐ
      เดลินิวส์
      คมชัดลึก
      ข่าวสด
      ผู้จัดการ
      The Nation
      INN
      Bangkok Post 
  โทรทัศน์
      ช่อง 3
      ช่อง 5
      ช่อง7
      ช่อง 9
      ช่อง 11
      ช่อง itv
      UBC
      CNN
      BBC
 การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของชาติตะวันตก : ศิลปวัฒนธรรมสมัยกลาง


เหตุการณ์สำคัญในตอนปลายของจักรวรรดิโรมัน
     ในตอนปลายของจักรวรรดิโรมัน มีเหตุการณ์สำคัญ 2 ประการ ที่นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงทางด้านศิลปวิทยาการของโลกตะวันตก ได้แก่
     1. การเจริญเติบโตของคริสต์ศาสนา คริสต์ศาสนาได้พัฒนามาจากลัทธิจูดา (Judaism) ของชาวยิวในดินแดนปาเลสไตน์ กรุงโรมถือว่าการเผยแพร่ของคริสต์ศาสนาเป็นสิ่งต้องห้าม เพราะมีหลักการที่กระทบต่ออำนาจและความเชื่อเดิมของพวกตน เช่น การนับถือพระเจ้าองค์เดียว ซึ่งต่างจากความเชื่อในเทพเจ้าหลายองค์ตามแบบของกรีกและโรมัน และการสอนให้มนุษย์มีความรักมีคุณธรรมต่อกัน โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างทางเชื้อชาติ ชาวคริสเตียนในสมัยนั้นจึงถูกปราบปรามอย่างหนัก รวมทั้งการประหารชีวิตพระเยซูโดยตรึงที่ไม้กางเขน จนกระทั่งใน ค.ศ. 312 จักรวรรดิคอนสแตนตินจึงทรงประกาศตนเป็นคริสต์ศาสนิกชน ประกาศให้มีขันติธรรมทางศาสนา เป็นผลให้คริสต์ศาสนาแพร่หลายอย่างรวดเร็วในจักรวรรดิโรมัน
     2. การรุกรานจากอนารยชนเยอรมัน จักรวรรดิโรมันถูกรุกรานโดยชนเผ่าเยอรมันหลายเผ่าในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 จนกระทั่ง ค.ศ.476 กรุงโรมจึงล่มสลาย พวกอนารยชนได้เข้าปกครองดินแดนจักรวรรดิโรมันแทนที่ และค่อยๆ ซึมซับอารยธรรมโรมันที่สูงกว่าเป็นของตน

การประหารชีวิตพระเยชู
การรุกรานอนารยชนเยอรมัน

ลักษณะของสังคมสมัยกลาง
     ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5-16 นับตั้งแต่การรุกรานและการเข้ายึดครองดินแดนของพวกอนารยชนเยอรมัน เรียกประวัติสาสตร์ช่วงนี้ว่า "สมัยกลาง" หรือยุคมืดมนของยุโรป ลักษณะเด่นของสังคมสมัยกลางคือ การเผยแพร่ขยายอิทธิพลของคริสต์จักร และระบบสังคมลัทธิฟิวดัล (Feudalism)
     1. อิทธิพลของคริสต์สาสนาและสำนักสันตะปาปา (Pope) ในช่วงเวลาดังกล่าวคริสต์ศาสนามีความเจริญรุ่งเรืองและมีอำนาจเหนืออาณาจักร เนื่องจากชนเผ่าเยอรมันแตกแยกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อยมากมาย ไม่อาจรวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ทำให้สำนักสันตะปาปาที่กรุงโรมได้รับการยอมรับในอำนาจและขยายบทบาทอิทธิพลของตนอย่างมั่นคง โดยมีอำนาจเหนืออาณาจักรทั้งในด้านการบริหาร นิติบัญญัติ และการศาล
     2. ระบบสังคมลัทธิฟิวดัล (Feudalism) มีลักษณะคล้ายคลึงกับระบบศักดินาของไทย กล่าวคือ พวกเจ้านายขุนนาง (Lords) เป็นเจ้าของที่ดิน และมีนักรบอัศวิน (Knight) มาขึ้นในสังกัด ช่วยดูแลการปกครองอาณาจักรของขุนนาง ทั้งนี้อัศวินจะได้ผลตอบแทนจากการใช้ประโยชน์ในที่ดิน เช่น เก็บภาษีผลิตผลจำนวนหนึ่งจากราษฎรที่เข้ามาทำมาหากินในที่ดินผืนนั้นนับได้ว่า ระบบสังคมลัทธิฟิวดัล มีลักษณะของการกระจายอำนาจทางการเมืองและการปกครองให้แก่เจ้านายขุนนางมากกว่า การรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางเหมือนอย่างจักรวรรดิโรมัน

กลุ่มชนชั้นในสังคมสมัยกลาง
     1. ชนชั้นปกครอง ได้แก่ พระมหากษัตริย์ ขุนนาง อัศวิน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ครอบครองที่ดินจำนวนมาก
     2. สามัญชน ได่แก่ ชาวนาอิสระ (เป็นเจ้าของที่ดินขนาดเล็ก) และทาสติดที่ดิน (Serf) เป็นชาวนาที่อาศัยอยู่กับเจ้าของที่ดิน และตกอยู่ใต้อำนาจเจ้าของที่ดิน
     3. นักบวช พระหรือนักบวชในศาสนาคริสต์มีอิทธิพลตอ่การดำรงชีวิตของประชาชน

ศิลปะวัฒนธรรมสมักลาง
     สมัยกลางมีความเจริญก้าวหน้าทางศิลปวัฒนธรรมจำแนกได้ 3 กลุ่ม ประกอบด้วยศิลปะไบแซนไทน์ สิลปะโรมาเนสต์ และศิลปะโกธิก

     1. ศิลปะไบแซนไทน์ (Bizantine Arts)
     2. ศิลปะโรมาเนสก์ (Romanesque Arts)
     3. ศิลปะโกธิก (Gothic Arts)

งานวรรณกรรมของสมัยกลาง
     1. งานวรรณกรรมสมัยกลองตอนต้น (คริสต์ศตวรรษที่ 6-10)
         1.1 วรรณกรรมทางศาสนา เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับคริสต์ศาสนา นับตั้งแต่กำเนิดของคริสต์ศาสนา ความเชื่อเรื่องการสร้างโลกของพระเจ้า การไถ่บาป และวันพิพากษาครั้งสุดท้าย ตลอดจนหลักธรรมคำสั่งสอน ซึ่งสะท้อนถึงความศรัทธาในศาสนาอย่างแรงกล้า งานเขียนที่สำคัญ "เทวนคร" (The City of God) โดยนักบุญออกัสติน (St. Augustine) วรรณกรรมทางศาสนาของสมัยกลางเขียนโดยใช้ภาษาละติน ซึ่งเป็นภาษาหนังสือชั้นสูงสมัยนั้น
         1.2 วรรณกรรมทางโลก เป็นเรื่องราวที่สะท้อนชีวิตของสังคมในระบอบฟิวดัล เน้นการต่อสู้ การผจญภัย และการสั่งสอนค่านิยมในด้านความซื่อสัตย์และความจงรักภักดีต่อขุนนางเจ้านาของตน

     2. งานวรรณกรรมสมัยกลางตอนปลาย (คริสต์ศตวรรษที่ 13-14)
         2.1 เน้นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางโลกมากขึ้น มีลักษณะทางมนุษยนิยม มิใช่หมกมุ่นกับเรื่องทางศาสนาเหมือนแต่ก่อน เป็นงานเขียนทั้งประเภทร้อยแก้วและร้อยกรอง มักนิยมใช้ภาษาท้องถิ่นของยุโรปแทนภาษาละติน เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาอิตาเลียน เป็นต้น
         2.2 นักเขียนและผลงานสำคัญ ได้แก่ ตังเต (Dante) กวีชาวอิตาเลียนผู้แต่ง "The Divine Comdy" ซึ่งเป็นมหากพย์ชิ้นเอกของสมัยกลาง กล่าวถึงชีวิตหลังความตาย สะท้อนถึงความสามารถในด้านจินตนาการและการใช้เหตุผล กวีอื่นๆ ได้แก่ โชเซอร์ (Chaucer) และบอคคัชชิโอ (Boccaccio) ซึ่งงานเขียนที่เด่นมักปรากฎในรูปของนิทานเพื่อความบันเทิงและเสียดสีศาสนจักร

มหาวิทยาลัยสมัยกลาง
     1. การศึกษาของสมัยกลางในระยะแรกๆ เน้นหนักทางด้านเทววิทยา เพื่อเตรียมคนเป็นผู้สืบศาสนา โดยใช้วัดเป็นคริสต์ศาสนาเป็นที่เล่าเรียน ต่อมามีการจัดตั้งสถานศึกษาที่แยกออกจากวัดขึ้นในอิตาลี เพื่อเพิ่มพูนวิชาความรู้ให้แก่ผู้ที่เตรียมตัวเป็นพระให้สูงยิ่งขึ้น ซึ่งต่อมาได้วิวันาการกลายเป็มหาวิทยาลัย
     2. มหาวิทยาลัยแห่งแรกของสมัยกลาง คือ มหาวิทยาลัยโบโลญญา (Bologna) ในอิตาลี ตั้งขึ้นเมื่อประมาณตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 11 เน้นการศึกษากฎหมายโรมัน แพทย์ศาสตร์ และปรัชญา นอกจากนี้ที่มหาวิทยาลัยปารีส ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการศึกษาด้านเทววิทยาของสมัยกลาง และมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดและมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ในอังกฤษ อาจกล่าวได้ว่า ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 12 เป็นต้นมา การศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยแพร่ขยายไปทั่วยุโรป
     3. การศึกษาของมหาวิทยาลัยสมัยกลางเน้นศิลปศาสตร์ 7 แขนง กล่าวคือ 3 แขนงแรกมีความสำคัญที่สุด ได้แก่ ไวยากรณ์ วาทศิลป์ และตรรกวิทยา และรองลงมา คือ เลขคณิต ดาราศาสตร์ และดนตรี มีนักศึกษาเข้าเรียนนับพันคน และใช้วิธีการสอบปากเปล่า

เมืองโบโลญญา


การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของชาติตะวันตก
นำเสนอโดย เอมอร กาศสกุล