ความหมายของศิลปวัฒนธรรมแบบโรแมนติก 1. ศิลปแบบโรแมนติก (Romanticism) หรือแบบจินตนาการนิยม เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 เป็นศิลปะที่ให้ความสำคัญกับอารมณ์ความรู้สึก และธรรมชาติ โดยลดความเชื่อในเรื่องเหตุและระเบียบแบบแผน ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของสมัยนีโอคลาสสิก รวมทั้งให้ความสำคัญแก่มนุษย์ในฐานะเป็นปัจเจกบุคคลมากกว่าส่วนรวม รวมทั้งแฝงความรู้สึกชาตินิยมไว้ด้วย 2. ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการเกิดศิลปะแบบโรแมนติก คือ การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมในสมัยนั้น โดยเฉพาะความคิดแบบเสรีประชาธิปไตย ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่การปฏิวัติใหญ่ในฝรั่งเศส ค.ศ.1789 และการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรปส่งผลให้โลกทัศน์ของชาวยุโรปเปลี่ยนแปลงไป ต่างผ่อนคลายการยึดมั่นในระเบียบกฎเกณฑ์ของสมัยคลาสสิก ละทิ้งสมัยแห่งเหตุผล แต่กลับแสดงออกอย่างเสรีทางด้านอารมณ์ ความรู้สึกและความต้องการของตน แม้จะไม่มีเหตุผลหรือไม่มีจริงก็ตาม
งานสร้างสรรค์ทางศิลปวัฒนธรรมแบบโรแมนติก 1. ด้านวรรณกรรม ศิลปะแบบโรแมนติกจะปรากฎให้เห็นอย่างเด่นชัดในงานด้านวรรณกรรม บทกวีส่วนใหญ่จะสะท้องถึงอารมณ์ ความรู้สึกและลักษณะนิยมของกวีผู้ประพันธ์อย่างชัดเจน ภาษาที่ใช้อ่อนหวานนุ่มนวล บ้างก็ชื่นชมต่อความงามของธรรมชาติและทิวทัศน์ของชนบท บ้างก็จินตนาการไปไกลถึงโลกแห่งความฝัน หรือดินแดนที่ลี้ลับ เป็นต้น 1.1 นักประพันธ์โรแมนติกชาวอังกฤษ ที่มีผลงานทั้งในด้านร้อยแก้วและร้อยกรอง ได้แก่ วิลเลียม เวิร์ดสเวิร์ธ (William Wordsorth) นิยมความงามของธรรมชาติ 1.2 นักประพันธ์โรแมนติกชาวเยอรมันที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คือ โยฮัน โวล์ฟกัง เกอเธ (Johann Wolfgang Goethe) มีผลงานทั้งนวนิยาย โคลง กลอน เรื่องสั้นและบทละคร 1.3 นักประพันธ์โรแมนติกชาวฝรั่งเศส ผู้มีความสามารถด้านการประพันธ์หลายประเภทเช่นกับเกอเธ ได้แก่ วิคเตอร์ ฮูโก (Victor Hugo) 1.4 กวีโรแมนติกคนสำคัญของรัสเซีย คือ อเล็กซานเดอร์ พุชกิน (Alexander Pushkin) เป็นกวีชาวรัสเซียคนแรกที่กล้าวิพากษ์วิจารณ์สังคมสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างตรงไปตรงมา 1.5 งานวรรณกรรมทางด้านปรัชญาการเมือง ผลงานที่เด่นเป็นของนักปรัชญาโรแมนติกคนแรกที่ชื่อ ซอง ชาคส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) ชาวฝรั่งเศส เน้นความสำคัญของความรู้สึกและอารมณ์มากกว่าเหตุผลและประสบการณ์ เรียกร้องเสรีภาพในการศึกษาและความรัก ต่อต้านสังคมที่เคร่งครัดตามกรอบประเพณี ผลงานที่สำคัญ คือ "สัญญาประชาคม" (The Social Contract) 1.6 งานเขียนปรัชญาทางประวัติศาสตร์ ผู้มีชื่อเสียงในฐานะเป็นนักปรัชญาประวัติศาสตร์สมัยโรแมนติก คือ ยอร์ช วิลเลียม เฮเกล (George William Hegel) ผู้ก่อตั้ง "ทฤษฎีไดอะแลคติก" (Dialectic Theory) หรือทฤษฎีแห่งความขัดแย้ง สาระสำคัญ คือ ความขัดแย้งปรากฎในทุกสิ่ง และความขัดแย้งเป็นสิ่งที่ดี ทำให้เกิดความก้าวหน้า 2. งานจิตรกรรม มีผลงานปรากฎน้อยกว่าวรรณกรรม แต่จิตรกรแสดงออกในอารมณ์และความรู้สึกของตนอย่างเต็มที่ ใช้สีฉูดฉาดตัดกันอย่างรุนแรง มักเป็นภาพวาดทิวทัศน์ธรรมชาติหรือภาพสะท้อนสังคมสมัยการปฏิวัติอุตสาหกรรม และการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่รุนแรง จิตรกรที่สำคัญคือ โจเซฟ เทอร์เนอร์ (Joseph Turner) ชาวอังกฤษ และเดอลาครัวซ์ (Delacroix) ชาวฝรั่งเศส เป็นต้น 3. งานสถาปัตยกรรม ลักษณะโรแมนติกในงานสถาปัตยกรรมไม่ปรากฎเด่นชัดมากนัก ส่วนใหญ่จะปรากฎเป็นศิลปะแบบโกธิค ซึ่งเคยเป็นที่นิยมในสมัยกลาง สถาปัตยกรรมแบบโกธิคเจริญรุ่งเรืองมากจนกลายเป็นศิลปะประจำชาติของอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมณี ตัวอย่างที่สำคัญคือ ตึกรัฐสภาอังกฤษ เป็นต้น 4. งานด้านนาฎกรรม ละครสมัยโรแมนติกมีเนื้อหาง่ายๆ ไม่สลับซับซ้อน แต่เน้นบีบคั้นทางอารมณ์ของคนดู ให้ความรู้สึกเศร้าเสียใจตามตัวละคร ตัวเอกของเรื่องเป็นตัวแทนของความดี มีอุดมคติ 5. ศิลปะดนตรี นักดนตรีและนักแต่งเพลงสมัยโรแมนติก เน้นการแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกอย่างรุนแรง โดยเฉพาะความรู้สึกชาตินิยม การประพันธ์เพลงมีรูปแบบเสรีมากขึ้น ไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์ของแบบคลาสสิก ทั้งนี้เป็นผลมาจากการบุกเบอกของบีโธเฟน (Beethoven) นักดนตรีชาวเยอรมันที่มีผลงานยอดเยี่ยมทั้งในรูปแบบคลาสสิกและโรแมนติก ประพันธ์กรอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงในดนตรีโรแมนติก ได้แก่ ไชคอฟสกี (Tchaikovsky) ชาวรัฐเซีย และโชแปง (Chopin) ชาวโปแลนด์ เป็นต้น
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของชาติตะวันตก นำเสนอโดย เอมอร กาศสกุล